วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

พระนางเนเฟอร์ติติ ตอนจบ

              เทพอาเตน มีสัญลักษณ์เป็นแผ่นกลมที่มีรัศมีแผ่ออกมาเป็นรูปมือเล็กๆ ซึ่งหมายถึงกำเนิดชีวิตหรือจะหมายถึงพลังแห่งสุริยเทพ มหาวิหารที่ฟาโรห์และมเหสีสร้างถวาย เทพอาเตนนั้น เป็นแบบวิหารสุริยโบราณที่ไม่มีหลังคา ปล่อยให้แสงแดดส่องลงมาได้เต็มที่
นอกจากจะคลั่งไคล้บูชาอาเตนเต็มที่แล้ว ฟาโรห์ยังกระทำยํ่ายีศาสนาเดิม โดยมีบัญชาให้ปิดวิหารเทพเจ้าอื่นๆจนสิ้น สร้างความโกรธเป็นเดือดเป็นแค้นแก่นักบวชที่เคยมีอิทธิพลต่อจิตใจของชนอียิปต์อย่างมากมาย
ในปีที่ 1336 ก่อนคริสตกาล ฟาโรห์อาเคนาเตน สิ้นพระชนม์ แผ่นดินตกอยู่ในการปกครองของผู้สำเร็จราชการนาม เนเฟอร์เนเฟอรู อาเตน ซึ่งไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเขาเป็นใครมาจากไหน หลายคนกล่าวว่าเขามิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นมเหสีเอก เนเฟอร์ติตีนั่นเอง

เนเฟอร์ติตีนั้นไม่ปรากฏพระองค์ หรือมีบทบาทใดๆให้เห็นในช่วงท้ายๆรัชกาลอาเคนาเตน จะเป็นด้วยเหตุผลใดไม่แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าทรงรู้ดีว่าพระองค์นั้นมีส่วนร่วมกับฟาโรห์ทำลายล้างศาสนาเดิม และได้สร้างศัตรูไว้มากมาย จึงต้องทรงซ่อนเร้นและปกครองอียิปต์ต่อมาอย่างไม่เปิดเผยพระองค์
ในช่วงระยะเวลาอันสั้นราว 3 ปี ในฐานะผู้สำเร็จราชการนี้ ได้มีความพยายามที่จะประนีประนอมรื้อฟื้นการบูชาเทพเจ้าดั้งเดิมขึ้นใหม่ เพื่อบรรเทาความอาฆาตแค้นของศัตรูหากแต่ไม่เป็นผล การสิ้นพระชนม์ของเนเฟอร์-ติตี ก็เป็นเรื่องลี้ลับ อย่างไรก็ตาม โดยที่มีผู้เกลียดชัง ได้ทำให้ภาพของเนเฟอร์ติตีตามวังและวิหารต่างๆ ถูกลบพระพักตร์ ออก อันเป็นการกระทำที่เกิดจากความเคียดแค้นอาฆาตที่สะสมมานาน และโดยเหตุที่พระนางมีใบหน้าที่สวยงามกว่านางใดในแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้เองที่ใบหน้า ของพระนางในรูปเขียนต่างๆ จึงถูกทำลายอย่างเฉพาะเจาะจง และแม้แต่มัมมี่ของพระนาง ก็ยังไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่าอยู่หนใด

จวบจนกระทั่งนักอียิปต์วิทยาได้สันนิษฐานว่ามัมมี่ 1 ใน 3 ร่าง ที่พบในสุสานหมายเลข KV 35 แห่งหุบเขากษัตริย์ ใกล้เคียงกับสุสานของตุตันคาเมน นั่นน่าจะเป็นมัมมี่ของเนเฟอร์ติตี เหตุผลของการสันนิษฐานประมวลได้ว่ามัมมี่ร่างนั้นมีคอเรียวยาวดุจหงส์ ซึ่งละม้ายกับรูปลักษณ์ของเนเฟอร์ติตีผู้งดงาม และอายุของมัมมี่นี้ก็อยู่ในยุคเดียวกับพระนาง
นอกจากนี้ ตลอดร่างของมัมมี่ก็ถูกทำลายเสียหาย เช่น ใบหูถูกเจาะ ศีรษะถูกโกน คิ้วถูกกดเป็นรอย ลำตัวมีริ้วรอย ซึ่งล้วนตรงกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ต่อภาพเขียนทั้งหลายของพระนาง และที่สำคัญคือ ได้พบวิกผมสไตล์นูเบียน ตกอยู่ใกล้ๆ กับมัมมี่ทั้ง 3 เป็นแบบวิกผมที่ เนเฟอร์ติตี และสมาชิกราชวงศ์ของเธอสวมใส่ อยู่เป็นประจำ!
ทำให้น่าเชื่อได้ว่า มัมมี่นี้ก็คือพระศพของพระนางเนเฟอร์ติตี ราชินีผู้มีบทบาทสำคัญทั้งในฐานะเมียและแม่นั่นเอง
และจากการสันนิษฐานว่า เป็นมัมมี่ของเนเฟอร์ติตีผู้งามที่สุดในโลก โครงการหนึ่งของทีมงานศึกษาครั้งนี้ จึงมุ่งเน้นในการสร้างภาพดิจิตอล พระพักตร์ของเนเฟอร์ติตีจากโครงหน้าของมัมมี่นี้ ซึ่งจะได้ภาพราชินีอียิปต์ผู้ทรงโฉม
หลังจากที่ฟาร์โรอาเคนคาเตนสิ้นพระชนม์ พระนางเนเฟอร์ติติก็ครองราชสมบัติแทน ต่อมาเมื่อตุตันคาเมน ได้โตขึ้นพระองค์ตุตันคาเมนก็ครองราชสมบัติเเทน เเต่ด้วยการถูกขุนนางเป่าหูตั้งแต่พระเยาว์พระองค์ตุตันคาเมนก็ได้ทรงย้ายกลับไปยังเมืองเดิม และนับถือศาสนาเดิม ….

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

พระนางเนเฟอร์ติตี ตอนที่1

พระนางเนเฟอร์ติตี
ใบหน้าที่กระชับเต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย แถมคางยังคม คอระหง คือสุดยอดปรารถนาของผู้หญิง คนที่รักสวยรักงาม เป็นที่มาของการคิดค้นเทคนิคใหม่ในการฉีด โบท็อกซ์ ที่ชื่อว่า เนเฟอร์ติติ ลิฟท์ ตามอย่างพระนางเนเฟอร์ติติ แห่งอียิปต์ คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ประกอบกับแรงโน้มถ่วงของโลก จึงทำให้ประสบกับปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย คางยาน การฉีดโบท็อกซ์แบบใหม่ เนเฟอร์ติติ ลิฟท์เพื่อช่วยให้ผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณคาง  ใต้คาง  และเหนียงคอกระชับขึ้น  โดยไม่ต้องทำศัลยกรรมผ่าตัดดึงหน้า

พระนาง เนเฟอร์ติติ ราชินี ผู้เลอโฉมแห่งอาณาจักรอียิปต์โบราณ ซึ่งเป็นที่เลื่องลือถึงความงามของใบหน้าที่ได้สัดส่วน จนมีคนยกย่องให้ พระนางเนเฟอร์ติติเป็นหญิงที่มีโครงหน้าสวยสมบูรณ์แบบและยังมีลำคอยาวระหงอีกด้วย   นอกจากความสวยงามแล้ว พระนางคือผู้หญิงที่เก่งกล้าสามารถ ที่เคียงคู่กับฟาโรห์อาเคนาเตน..
ในช่วง ศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสตกาล ฟาโรห์ผู้ปกครองอาณาจักรไอยคุปต์ทรงพระนามว่า อาเคนาเตน  (Akhenaten) ระยะเวลา 17 ปี ที่ครองราชย์นั้น พระองค์ได้ปฏิรูปศาสนา และศิลปกรรมของอียิปต์อย่างมากมาย ก่อความระส่ำระสายให้แก่นักบวชดั้งเดิม จนกลายเป็นความโกรธแค้นอาฆาต ซึ่งบุคคลที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังฟาโรห์และมีอิทธิพลต่อราชวงศ์ไอยคุปต์ ก็คือ พระมเหสีเอกของพระองค์ผู้มีพระนามว่า เนเฟอร์ติตี(Nefertiti)
ด้วยรูปโฉมของเนเฟอร์ติตี มีลักษณะเป็นสตรีเอวบาง แต่บั้นท้ายและสะโพกหนา ชุดที่พระนางสวมใส่ มักจะบางเบาโปร่งแสง ทำให้แลดูมีเสน่ห์ยั่วยวน จนได้รับสมญาว่า พระพักตร์งาม ทรงความเบิกบาน เป็นผู้ให้ความสำราญหาใครเทียม” ความงามของเนเฟอร์ติตีนั้น เป็นที่เลื่องลือว่า งดงามที่สุดในโลก สมกับพระนามเนเฟอร์ติตีที่แปลว่า ผู้งดงามหมดจด


แม้ว่าชีวิตในวังจะเต็มไปด้วยความสุข แต่สิ่งหนึ่งที่นำมาซึ่งความวิบัติเสื่อมเสียให้แก่ฟาโรห์และพระนางในภายหลังก็ คือ ทั้งสองพระองค์ทรงนับถือบูชา ในเทพเจ้าอาเตน(Aten)ยิ่งนัก ซึ่งในแต่เดิมนั้น ประชาชนชาวอียิปต์ มีศาสนาที่นับถือพระเจ้าหลายองค์ (พหุเทวนิยม) โดยมีเหล่านักบวช เป็นผู้ดูแลทำพิธีในวิหารต่างๆ แต่ฟาโรห์อาเคนาเตน ได้นำเอาศาสนาพระเจ้าองค์เดียว (เอกเทวนิยม) คือ สุริยเทพอาเตนมาบังคับให้คนนับถือและได้ปฏิรูปศาสนาอย่างถอนรากถอนโคน...
หลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานฟาโรห์ก็ทรงมีบัญชาให้สร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ กลางดินแดนอียิปต์ระหว่างเมืองธีบิสกับเมมฟิส สำหรับการสักการบูชาเทพอาเตน โดยเฉพาะชื่อของนครนี้ คือ อาเคตาเตน (Akhetaten) แปลว่า ขอบฟ้าแห่งเทพอาเตน ทรงย้ายสมาชิกในราชวงศ์ ตลอดจนขุนนาง และบริวารใกล้ชิดไปอยู่ที่เมืองหลวงใหม่นี้ ใจกลางนครมีมหาวิหารสถิตเทพอาเตนกับมีพระราชวังหลวง โดยมีอาคารพักอาศัยของข้าราชบริพารอยู่รอบนอกมีสุสานของพระราชวงศ์อยู่ที่หน้าผานอกเมือง....
ติดตามเรื่องราวตอนจบได้เร็วๆนี้.....

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บูเช็คเทียน 2

บูเช็คเทียน 2
            คนที่หลงใหลในอำนาจ ย่อมมิปรารถนาจะสูญเสียอำนาจ กระทำได้ทุกวิถีทางเพื่อครอบครองอำนาจให้อยู่ในอุ้มมือยาวนานที่สุด โดยพฤติกรรมนี้มีอยู่ทั้งในบุรุษและสตรี แต่นี่คือบทเรียนที่เราได้เรียนรู้จากเธอ สตรีที่ชื่อว่า บูเช็คเทียน


ในช่วงแรกๆ บูเช็คเทียนค่อยๆ ดำเนินการตามเป้าหมายอย่างนิ่มนวล รวบอำนาจฝ่ายในไว้ในมือ โดยแผนการของนางนั้นเรียกได้ว่าต้องลงทุนมหาศาลและต้องใช้ความเหี้ยมโหดจนใครก็นึกไม่ถึง ...นั่นคือ นางลงทุนบีบคอธิดาน้อยองค์เดียวของตนเองจนตายคามือและป้ายความผิดให้กับฮองเฮา ! มันเป็นหมากที่บูเช็คเทียนมองไว้ทะลุปรุโปร่ง เกาจงฮ่องเต้เชื่อสนิททรงพิโรธโกรธเกรี้ยวและทรงสั่งถอดถอนพระนางออกจากตำแหน่งทันทีก่อนจะนำไปคุมขังไว้ในตำหนักเย็นเป็นเสมือนคุกดีๆนี่เอง
บูเช็คเทียนคิดว่าคงจะได้พบทางสว่างที่จะได้ขึ้นตำแหน่งใหญ่แทนฮองเฮา แต่ก็ยังได้รับการคัดค้านจากขุนนางผู้ใหญ่ นางจึงแค้นใจอย่างมาก แผนการค่อยๆ กระเถิบก้าวไปข้างหน้าด้วยตัวเอง เริ่มด้วยการคบหาบัณฑิตจอหงวนรุ่นใหม่เสมอๆ ทำให้นางรอบรู้กว้างขวาง มีสายตากว้างไกล ทำให้เป็นเป็นผู้หญิงที่ฉลาด ความพยายามของนางในการขึ้นสู่ตำแหน่งสูงจึงสัมฤทธิ์ผล เมื่อเสนาบดีฝ่ายกลาโหมให้ความสนับสนุนทำให้พระเจ้าถังเกาจง สามารถแต่งตั้งนางขึ้นเป็นฮองเฮา โดยไม่หวั่นไหวต่อคำทัดทานของเสนาบดีคนใดอีก
นางก้าวขึ้นมาถึงจุดสุดยอดของอำนาจฝ่ายในอย่างที่นางต้องการได้สำเร็จ แต่ว่าเส้นทางสู่อำนาจวาสนาของนางมิใช่จะสิ้นลงตรงนี้ หากทอดยาวไปถึงบัลลังก์ฮ่องเต้เลยทีเดียว (เป็นธรรมดาเมื่อคนเราได้สิ่งที่พึงมีก็หวังในสิ่งที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆมิรู้จบ สำหรับคนที่ไม่รู้จักเพียงพอ) พระเจ้าถังเกาจงฮ่องเต้พระสวามี แม้จะอยู่ในวัยหนุ่มแน่น แต่ทรงอ่อนแอประชวรจนพระวรกายซูบซีดลงเป็นลำดับ ไม่ช้าก็ทรงเห็นราชการเป็นงานหนัก เมื่อพระองค์ทรงท้อแท้ พระนางบูเช็คเทียนจึงเข้ามากำกับราชการถวายอยู่หลังพระวิสูตร (ม่าน)
ในขณะที่ประทับบัลลังก์มังกรว่าราชการในท้องพระโรง นางมีความรู้เรื่องในการปกครองที่ไม่เหมือนกับผู้ชายคิดกัน อาทิ นางมีความเห็นว่าน่าจะกระทำการคัดเลือกข้าราชการด้วยการสอบ แทนที่จะใช้ เส้น ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นด้วย ทำให้ฐานอำนาจของบูเช็คเทียนซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถสอบผ่านเข้ามาเป็นขุนนางได้ ทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว นางวางหมากไว้อย่างเป็นระบบ และนางก็กลายเป็นผู้มีอำนาจสามารถสั่งงานแทนฮ่องเต้หมดทุกเรื่อง ด้วยเหตุผลนี่ฮ่องเต้ทรงเกรงในความเด็ดขาดของนางที่สามารถว่าราชการแทนพระองค์และประสบความสำเร็จทุกครั้ง (ทุกอย่างมีสองด้าน)
เวลาต่อมาไม่ว่าบูเช็คเทียนจะสั่งอะไร ก็ไม่มีใครกล้าไปขัดขวาง ไม่อย่างนั้นจะมีชีวิตอยู่ในโลกได้ไม่นาน ขุนนางที่กระด้างกระเดื่องล้มตายลงไปมาก เพราะคำสั่งของพระนางไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม หนึ่งในจำนวนคนที่ต้องตายเพราะขวางหูขวางตาฮองเฮานี้ยังรวมไปถึงพี่น้องของนางเองด้วย สาเหตุเพราะพี่สาวของนางบังอาจเข้ามาเป็นสนมอีกคนหนึ่งของฮ่องเต้ ซึ่งบูเช็คเทียนถือว่าเป็นการทรยศอย่างที่ให้อภัยไม่ได้ พี่สาวผู้นั้นมีความสุขกับฮ่องเต้ได้ไม่นาน ก็ต้องตายกะทันหันด้วยสาเหตุอาหารเป็นพิษ ทั้งฮ่องเต้และทุกคนในวังรู้ดีว่าเป็นฝีมือของพระนาง แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้นพระนางยังมีอำนาจในมืออย่างเต็มที่ พระนางเริ่มกำจัดขุนนางตงฉินหลายคน ทรงวางยาเจ้าชายรัชทายาทอีกด้วย
บ้านเมืองเริ่มไม่สงบสุข ที่สุดพระเจ้าถังเกาจงฮ่องเต้ก็สิ้นพระชนม์ ราชโอรสของพระเจ้าถังเกาจงผู้เป็นไทจือขึ้นครองราชบัลลังก์มังกรต่อทรงพระนามว่า พระเจ้าถังจงจงฮ่องเต้ บูเช็คเทียนเปลี่ยนฐานะจากมเหสี-ฮองเฮา เป็นพระราชชนนีฮองไทเฮา แต่ก็ทรงอำนาจเหมือนเดิม ไม่ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะทำอะไร เป็นต้องได้รับความเห็นชอบ จากฮองไทเฮาก่อนเสมอ
หนทางอำนาจนั้นย่อมโรยด้วยขวากหนามเป็นธรรมดา พระนางต้องผจญกับการต่อต้านจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมากมาย แต่พระนางก็ปราบได้ด้วยความเข้มแข็ง ต่อมาพระนางก็ได้ลงมือโค่นอำนาจฮ่องเต้ซึ่งเป็นโอรสของพระนางเอง แล้วสถาปนาขึ้นเป็นฮ่องเต้สตรีคนแรก (องค์เดียว) ของจีน เปลี่ยนราชวงศ์ใหม่เป็นราชวงศ์โจว ปีนั้นพระนางอายุถึง 64 ชันษาแล้ว
บุคลิกที่ขัดแย้งของพระนางบูเช็คเทียนนอกจากความเหี้ยมมหาญไม่แพ้ชายแล้ว อีกด้านหนึ่งนางกลับเป็นคน ที่มีความละเอียดอ่อนละเมียดละไมมากพอที่จะเขียนกลอนได้อย่างไพเราะ พระนางแต่งกวีได้หลายบท ตั้งแต่สถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้ มีทั้งบทความรัฐศาสตร์ปรัชญาโอวาท พระนางยังเป็นคนที่คิดวิธีเร่งดอกไม้บานได้ มีเรื่องเล่าว่าพระนางดำรัสสั่ง ให้นางกำนัลออกไปบังคับดอกไม้ให้บาน วันรุ่งขึ้นดอกไม้ก็บาน ด้วยวิธีที่ง่ายนิดเดียวคือ ต้มน้ำร้อนให้เดือด แล้วนำไปตั้งไว้ในราชอุทยานทุกหนทุกแห่งไอน้ำเป็นตัวช่วยเร่งให้ดอกไม้แย้มกลีบบานได้ทุกดอก ถือเป็นความเฉลียวฉลาดของพระนางที่ยากจะหาใครมาเทียบรัศมีได้

เรื่องราวของฮ่องเต้สตรีคนนี้ตื่นเต้นกว่านิยายเสียอีก นอกเหนือจากความเหี้ยมโหดผิดผู้หญิงของพระนางแล้ว ต้องถือว่าพระนางสมควรจะได้รับการยกย่อง ว่าเป็นหญิง ที่สามารถที่บริหารบ้านเมืองได้ในทุกๆ ทางไม่เว้นแม้แต่ด้านศึกสงคราม ในบั้นปลายชีวิตของพระนางบูเช็คเทียนทรงพระชันษายืนยาวถึง 80 ปี แต่ก็ยังไม่ยอมมอบอำนาจให้ใคร จนโอรสองค์ที่เคยเป็นฮ่องเต้ถังจงจงต้องกราบทูลขอบัลลังก์คืนโดยมีเสนาบดีสนับสนุน บูเช็คเทียนจึงทรงคืนบัลลังก์ให้ แล้วเสด็จไปประทับนอกเมืองก่อนจะสิ้นพระชนม์ลงด้วยโรคชราเมื่อพระชนม์มายุ 81 ปี
ในโลกของเรามีเรื่องจริงให้เรียนรู้มากมาย ทั้งจากชายและจากหญิง แต่การบันทึกไว้มักเต็มไปด้วยบทบาทของบุรุษ ในบล็อก C2her นี้จะเป็นอีกแหล่งหนึ่งที่รวบรวาเรื่องราวดีจากสตรีเพศมานำเสนอ โปรดติดตามเป็นระยะๆครับ...

 

จากบทบาทของพระนางต่อแผ่นดินจีน ได้ถูกนำมาเสนอเป็นภาพยนตร์อยู่เสมอๆ


http://astore.amazon.com/konkhangwat-20


วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บูเช็คเทียน 1

บูเช็คเทียน 1
นับเป็นบุญช่วยหนุนนำหรือกรรมซัด     สวรรค์จัดให้กำเนิดเกิดใต้ฟ้า
ฤๅนรกบีฑาคนดลเธอมา            ลงเป็นข้าในพระองค์ถังไท่จง
เป็นสตรีถือดีมากว่าหญิงอื่น           กล้าหยัดยืนฝืนชะตาที่ฟ้าส่ง

ขอลิขิตขีดเส้นทางอย่างทะนง            เป็นนางหงส์คงเคียงคู่หมู่มังกร

ใครกำหนดกดสตรีมิแจ้งเกิด              บุรุษเลิศประเสริฐล้ำนำหน้าก่อน
ส่วนนารีสิอยู่หลังดังขั้นตอน                คือคำสอนกลอนโบราณสานสืบมา
เปลี่ยนแนวคิดขีดเส้นใต้ให้คำใหม่         ขอก้าวไกลไปเป็นหนึ่งซึ่งเหนือหล้า
เป็นฮ่องเต้ยอดหญิงเหล็กเสกบัญชา               ฤทธิ์เทียมฟ้านางพญาบูเช็กเทียน


บทประพันธ์เบื้องต้นกล่าวถึงผู้หญิงชาวจีนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งได้ขึ้นมาเป็นใหญ่และได้ปกครองประเทศจีน ไม่ใช่เรื่องง่ายในสังคมจีนที่ผู้หญิงจะขึ้นมามีอำนาจเหนือบุรุษเพศ แต่เธอผู้นี้ทำได้ และทำได้อย่างชาญฉลาด บูเช็กเทียน นางคือผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นฮ่องเต้สตรีองค์แรกและองค์เดียวของจีน
บูเช็คเทียนเกิดมาจากครอบครัวธรรมดา พ่อของนางเป็นพ่อค้าธรรมดาๆ ภายหลังรับราชการอยู่หัวเมืองรอบนอก ส่วนมารดาก็เป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา นามเดิมก่อนที่นางจะได้เข้าไปอยู่ในพระราชสำนักคือ บูเหม่ยเหนียง แปลว่า โฉมงามเลอเสน่ห์ สมัยที่ยังเป็นเด็กมารดามักจับนางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของเด็กชาย จนใครๆ ที่พบเห็นนึกว่าเป็นเด็กผู้ชาย มีโหรใหญ่คนหนึ่งชื่อหยวนเทียนกังมาเห็นเข้า ก็นึกว่าหนูน้อยน่ารักคนนี้เป็นเด็กชาย จึงออกปากทักว่า เด็กคนนี้ถ้าหากเป็นหญิงล่ะก็ ต่อไปจะได้เป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินจีนเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นเมื่อเข้าวังไปแล้ว โหราจารย์แห่งราชสำนักยังพยากรณ์สำทับอีกว่า ต่อไปสตรีแซ่อู่จะมีอำนาจขึ้นล้มราชวงศ์ถัง
ด้วยอายุเพียง 14 ปี กิตติศัพท์ความงามของนางก็ลือลั่นไปทั่ว จนรู้ไปถึงพระกรรณพระเจ้าถังไทจง ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถัง พระองค์จึงทรงมีดำรัสตรัสสั่งให้นำนางเข้าวังมาถวายตัวเป็นนางสนมในราชสำนัก และด้วยความงามกับเสน่ห์อันเย้ายวน นางจึงกลายเป็นสนมที่พระเจ้าถังไทจงรักและหลงเป็นยิ่งนัก
ขณะเดียวกันไทจือหรือราชโอรสที่เป็นรัชทายาทผู้มีนามว่า หลี่จื้อ  ก็มีจิตปฏิพัทธ์ต่อนางด้วย ความสวยของบูเช็คเทียนจึงเปรียบเสมือนถนนราดยางอย่างดี ที่จะนำพาตัวนางไปสู่ความโดดเด่นเหนือสนมกำนัลในทั้งปวง ว่ากันว่าองค์ไทจือนั้นหลงใหลในตัวนางมากๆทั้งที่มีมเหสีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อาจทำอะไรนอกลู่นอกทางได้นอกจากเฝ้ารอคอยเวลาที่จะได้ชื่นชมตัวนางเท่านั้น
แต่แล้วไทจือก็ไม่ต้องทรงรอนาน เมื่อพระเจ้าถังไทจงผู้เป็นพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ลง พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าถังเกาจงฮ่องเต้สืบต่อราชบัลลังก์ ความหลงใหลในตัวบูเช็คเทียนที่ตราตรึงอยู่ในดวงหทัยของพระองค์ เพิ่มมากขึ้นเป็นเงา และเมื่อพิศวาสกำเริบหนักพระองค์ก็อาจหาญ สึกบูเช็คเทียนที่จำต้องโกนหัวเข้าวัดบวชตามโบราณราชประเพณีมาเป็นสนมเอกของพระองค์สมความปรารถนา
บูเช็คเทียนได้เข้าวังอีกครั้ง และรั้งตำแหน่งใหญ่กว่าเดิม นางเริ่มคิดกำเริบในใจว่า ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นข้าบาท นาสนมเท่านั้น หากจะต้องยิ่งใหญ่กว่าใครในราชสำนักฝ่ายในและหนทางที่จำไปสู่อำนาจได้นั้นต้องอาศัยความแยบยลและรอบคอบ นางจึงใช้ความฉลาดวางหมากเดินแต้ม โดยเหยียบย่ำลงบนเลือดเนื้อและชีวิตของผู้คนมากมาย ไม่เว้นแม้แต่เลือดเนื้อเชื้อไข ลูกในไส้ของตนเอง !
โปรดติดตามได้ในตอนต่อไป ....การใช้ความสวยงามก็ประการหนึ่ง ใช้ความฉลาดก็อีกประการหนึ่ง หญิงใดใช้ทั้งสองอย่างให้เป็นประโยชน์ มักครองรัก ปกครองผู้คนได้อย่างมั่นคงและยาวนาน

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เมื่อผู้ชายมองหาผู้หญิงสักคน

เมื่อผู้ชายมองหาผู้หญิงสักคน
      โบราณท่านว่าไว้หลายอย่างในการที่ผู้ชายจะมองหาผู้หญิงสักคน ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ สมัยนี้ก็เป็นสิ่งที่ดูลำบากมาก เพราะช่องว่างระหว่างวัย การที่ผู้หญิงจะอยู่กับแม่ตลอดเวลาก็น้อยลง บางทีสิ่งแวดล้อมที่พวกเธออยู่มีส่วนหล่อหลอมให้เธอเติบโตตามวิถีทางของตัวเอง มากกว่าที่จะมีแม่เป็นต้นแบบ แต่ไม่ว่าจะกี่ยุคยุคสมัย เวลาผู้ชายมองผู้หญิงจาก รูปลักษณ์ภายนอก การแต่งกาย การวางตัว หน้าตา ความสะอาด ใส กิริยา ส่วนเรื่องนิสัยใจคอนั้นคงเป็นเรื่องภายหลัง
ลองมาดูสิ่งที่ผู้ชายมองหาผู้หญิงสักคนบนพื้นฐาน 10 อย่างนี้
1.ความมั่นใจ  ผู้ชายส่วนใหญ่มักมองหาความมั่นใจในตัวผู้หญิงเป็นอันดับแรก ซึ่งสังเกตได้จากการทักทาย น้ำเสียง และการสบตา หากคุณสามารถพูดคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติก็ถือว่าชนะใจเขาไปเกือบครึ่งแล้วละ
 2.ความเพียบพร้อม ผู้หญิงที่ดูดีไปซะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือแม้แต่กระทั่งเล็บเท้าที่ถูกแต่งแต้มมาอย่างกิ๊บเก๋ มีสไตล์ มักทำให้ผู้ชายคิดว่า เธอดูดีเกินไปหรือดูเชี่ยวเกินไป ซึ่งอาจหมายความรวมไปถึงเจ้าชู้มากเกินไปนั่นเอง
3.ความมีเสน่ห์ แน่นอน ผู้ชายมักชอบมองผู้หญิงที่ความเซ็กซี่อยู่แล้ว แต่ความเซ็กซี่ก็ไม่ได้ตัดสินจากหน้าตาหรือเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันรวมไปถึงกิริยาท่าทาง น้ำเสียง และการใช้สายตาด้วย ถึงแม้ว่าคุณเกิดมาหน้าตาไม่สะสวย แต่หากฉลาดที่จะแสดงออก อย่างเช่น แทนที่จะทักทายเฉยๆ ก็ลองสบตาสักครู่ พร้อมกับแย้มริมฝีปากนิดๆ ก็ทำให้คุณ กลายเป็นสาวที่น่าค้นหาได้เลย
4.โสดหรือเปล่า ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะแอบสังเกตว่า คนที่ปลื้มอยู่นั้นมีเจ้าของหรือยัง ซึ่งมองได้จากหากมีชายหน้าตาดีเดินผ่านมา หญิงที่มีแฟนอยู่แล้วมักจะทำได้แค่มองเพียงแวบเดียว แต่ถ้ายังโสดอยู่ละก็ อาจถึงขั้นหันไปทั้งตัวได้เลย
5.นิสัยชอบชิงดีชิงเด่น
ในกรณีที่คุณกำลังทานข้าวกับชายหนุ่มอยู่นั้น เผอิญมีหญิงไม่ทราบที่มาเดินเข้ามาทักเขาเฉยเลย แถมยังทำมึนไม่เห็นคุณอยู่ในสายตาอีกด้วย ถ้าหากคุณเกิดโวยวายและมองอย่างเกรี้ยวกราดละก็ เขาคงไม่แฮปปี้แน่ๆ แต่ถ้าคุณทำสุขุมและนิ่งเฉย นั่นแหละจะสร้างความประทับใจให้กับเขาอย่างไม่รู้ลืมเลยละ
6.สายตาจ้องจับผิด
เมื่อคุณถูกแนะนำให้รู้จักกับชายหนุ่มคนหนึ่ง อย่า! ใช้สายตาเพื่อสแกนเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเชียวนะคะ เพราะผู้ชายคงจะไม่ชอบแน่ หากโดนจับจ้องด้วยสายตาแบบนี้
7.ความเป็นมิตร
  ผู้ชายส่วนมากมักมองหาความเป็นมิตร ความเรียบง่ายๆ สบายๆ และมีอารมณ์ขันในตัวหญิงสาว เพราะเขาจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อต้องออกเดทกับคุณไงล่ะ
8.รูปร่าง
รูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ว่าหุ่นคุณจะไม่เซ็กซี่ หรือหน้าตาไม่น่ารัก หากแต่มีความมั่นใจในรูปร่างของตัวเองแล้ว บุคลิกที่แสดงออกมาก็จะดูดีไปด้วย แถมยังช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับตัวคุณแบบไม่รู้ตัวอีกด้วยนะ
9.จู้จี้ขี้บ่น
ผู้ชายมักจะสังเกตผู้หญิงว่าจู้จี้ขี้บ่นหรือไม่จากการดูว่าคุณชอบขอเปลี่ยนเก้าอี้บ่อยๆ หรือเปล่า หรือชอบเล่าว่าวันนี้เจอปัญหาอะไรมาบ้าง ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่เดทแรกระหว่างเขากับคุณ!
10.กำลังต้องการใครสักคน
เวลาที่เจอผู้ชายในเสปคที่ทั้งหล่อ เท่ และรวยสุดๆ หากคุณเผลอแสดงอาการปลื้มจนเวอร์ออกไปแล้ว อาจทำให้เขารู้ว่า คุณน่ะคงจะเพิ่งผ่านการอกหักมาหมาดๆ และกำลังมองหาเสาหลักอันใหม่อยู่แน่ๆ

           


เมื่อผู้ชายมองผู้หญิงสิ่งหนึ่งที่มักคิดถึงเสมอคือ คนนี้เหมาะหรือเปล่าที่จะมาเป็นแม่ของลูก มิใช่มาเป็นแม่ของเขาเอง ฮ่า ฮ่า